รวมเคล็ดไม่ลับ รักษารอยสิว หลังจากสิวหาย
เชื่อว่าหลายคนอาจจะเผชิญกับปัญหา รอยสิว หลังจากสิวหายควร รักษารอยสิวอย่างทันทีถึงแม้รอยสิวที่ปรากฏขึ้นเพียงชั่วคราว ก็จะจางลงตาม ระยะเวลาแต่สำหรับบางคนอาจจะมีแผลเป็น และสีผิวเข้ม หน้าไม่เรียบเนียน สีผิวไม่สม่ำเสมอ อาจจะส่งผลให้สูญเสียความมั่นใจ เมื่อออกไปพบเจอผู้คนก็อาจจะไม่มีความมั่นใจ เพราะฉะนั้นควรจะ รักษารอยสิว ทันทีเมื่อพบว่าสิวที่หายไปแล้ว ลดการเกิด รอยดำ รอยแดง ไม่กลับมากวนใจ โดยจะมีวิธีการใดที่จะสามารถรักษารอยสิวเหล่านี้ได้

รอยสิว เกิดมาจากอะไร ?
ปัจจัยต่างๆที่ ทำให้เกิด รอยสิว ตามมานั่นก็คือ ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากสิวประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สิวอักเสบ สิวหัวช้าง เนื่องด้วยเป็นกลุ่มสิวที่ตัดอยู่ในระดับปานกลางถึงรุนแรงมีหนอง และอุดตันภายใต้ผิวหนัง การที่จะนำออกมา และเมื่อนำออกมาก็อาจจะทำให้เกิดรอยแผลโดยประเภทของรอยสิว ที่พบส่วนใหญ่ก็จะมีดังนี้
- รอยสิวทั่วไป เป็นรอยสิวที่ปรากฏต่อเมื่อหลังจาก รักษาสิว หายโดยสามารถสังเกตได้จากสีผิวหนังบริเวณที่เป็นสิว จะมีสีไม่เหมือนกับผิวหนังปกติ อาจจะเป็นสีแดงสีน้ำตาล หรือดำ และอาจจะจางหายไปเองโดยธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องรักษาแต่อาจจะใช้เวลานาน
- รอยสิวหลุมลึก เป็นรอยสิวที่ก่อให้เกิด หลุมสิวบนใบหน้า ซึ่งอาจจะเกิดความรำคาญ และมีวิธีการรักษายาก โดยชนิดของหลุมสิวก็จะแบ่งออกเป็น 3 ระดับดังนี้
- รอยสิวชนิดหลุมจิก (ice pick scare) เป็นรอยแผลที่เกิดจากสิวที่ฝังลึกทำร้ายเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ในขณะที่เซลล์ผิวได้รับความเสียหาย ร่างกายจะผลิตคอลลาเจน เพื่อมาซ่อมแซม แต่ก็อาจไม่สามารถผลิตได้มากพอ จึงก่อให้เกิดรอยแผลเป็นชนิดหลุมสิวมีความกว้างไม่เกิน 2 mm.นอกจากนี้ รอยสิวชนิดนี้อาจจะมาจากพฤติกรรมการบีบสิว
- รอยสิวชนิดโค้งกว้าง (Rolling scars scare) รอยสิวชนิดนี้ เป็นสิวประเภทหลุมสิวที่เกิดการสูญเสียเนื้อเยื่อใต้ผิวหนั งมีลักษณะคล้ายคลึง กับหลุมสิวชนิดจิก แต่อาจมีลักษณะแตกต่างกันโดยรอยสิวประเภทนี้จะมีความตื้นกว่าแต่ขนาดหลุมสิวกว้างประมาณ 4-5 mm. และผิวหนังเป็นโค้ง เป็นคลื่นไม่เรียบเนียน
- รอยสิวแบบหลุมกว้าง (boxcar scare) เป็นรอยสิว หรือหลุมสิวที่ใช้ระยะเวลาในการรักษานานกว่าสิวชนิดอื่น เพราะเกิดจาก สิวอุดตัน สิวอักเสบ หรือชีสแข็ง ที่ส่งผลให้เกิดความเจ็บปวด และมีขนาดใหญ่ร่างกายจึงต้องผลิตคอลลาเจนมาเติมเต็มให้เนื้อเยื่อผิว ที่หายไปได้ยากซึ่งบางคนอาจจะไม่สามารถกลับมามีผิวหนังที่เรียบเนียนในสภาพเดิม หรืออาจจะส่งผลให้เป็นแผนนูน หรือคีลอยด์ก็ได้
และนี่ก็คือรอยสิว ที่เกิดจากสิวหลายคนอาจจะมองว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ และเป็นปัญหาที่สามารถแก้ได้แต่ถ้าหากท่านไม่รักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ก็อาจจะทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอเกิด รอยดำ รอยแดง หรืออาจจะใช้ระยะเวลานานในการกลับมา
วิธีการ รักษารอยสิว ที่ใช้กันในปัจจุบัน
เมื่อเกิดสิวควรรักษา และสิ่งที่ตามมานั่นก็คือ รอยสิว ท่านควรอย่าปล่อยไว้นานควรจะหาวิธี รักษารอยสิว ให้จางลง เพื่อผิวที่เรียบเนียนสม่ำเสมอ โดยเราจึงได้คัดสรรวิธีรักษารอยสิวในรูปแบบต่างๆ ให้ท่านสามารถนำไปประกอบการตัดสินใจ และรักษาตามอาการของท่านได้ดังนี้
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ครีม หรือยารักษาสิว ที่มีส่วนประกอบของกรดอะซีราอิก (Azelaic acid) และส่วนผสมที่มีกรดไฮดรอกซี (hydroxyl acids) ช่วยลดให้ รอยดำรอยแดง จางลงจากสิว
- การขัดผิว วิธีการนี้อาจจะเหมาะสำหรับรอยแผลเป็นในระดับรุนแรง และควรได้รับการขัดผิวจากคุณหมอเฉพาะทางเท่านั้น เพราะอาจจำเป็นต่อการใช้อุปกรณ์ทางแพทย์ เพื่อทำให้ผิวหนังด้านนอกออก แต่อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงบางอย่างเช่นสีผิว อาจจะเปลี่ยนแปลง
- การรักษาโดยการฉีดสเตียรอยด์ เป็นวิธีการรักษารอยสิวนูนที่พบบ่อยมากที่สุดเพื่อให้รอยสิวนั้นยุบตัวลงได้เร็ว แต่อาจจะต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างสม่ำเสมอ และปรึกษาจนกว่ารอยสิวจะเรียบเนียนขึ้น
- การฉีดฟิลเลอร์ เป็นการฉีดกรดไฮยาลูรอนิค (hyaluronic acid) เข้าไปบริเวณหลุมสิวเพื่อทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น ผิวหนังเต่งตึง รอยแผลจางลง แต่วิธีการนี้ อาจจะใช้ได้ชั่วคราวประมาณ 1 ปี ซึ่งอาจจะต้องรักษาหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง
- การใช้ลูกกลิ้งนวดหน้า เป็นอุปกรณ์ที่มีหนามแหลมเล็ก ติดอยู่บนลูกกลิ้งซึ่งประโยชน์ของหนวดแหลมนี้ อาจจะช่วยกระตุ้นให้ผลิตคอลลาเจนในเนื้อเยื่อใต้ผิวเหมาะสำหรับผู้ที่มีหลุมสิวแต่ผู้ที่มีรอยสิว หรือหลุมสิว จากการอักเสบที่รุนแรงอาจใช้วิธีการนี้รักษาควบคู่กับการเลเซอร์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
- การผลัดเซลล์ผิวด้วยเลเซอร์ การรักษารอยสิว อาจจะเหมาะสำหรับผู้ที่เป็นหลุมสิวหรือมีรอยสิวที่ตื้นซึ่งคุณหมอจะประเมินผิวหนังชั้นบนสุด และจากนั้นจะกระตุ้นให้ร่างกายผลิตเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทน
- การลอกสิวด้วยสารเคมี เป็นวิธีการรักษาสิวคล้ายกับผลัดเซลล์ผิวในรูปแบบอื่นๆการใช้สารเคมีเช่น กรดเอเอชเอ (AHA) กรด พีเอชเอ (PHA) จะช่วยให้ผิวบริเวณที่ได้รับผลกระทบพอง และลอกออกเพื่อให้ผิวฟื้นฟูคืนความเรียบเนียน
- การกระชับผิวด้วยคลื่นความถี่ คือวิธีที่ช่วยให้เราแผลเป็นต่างจากสิวเรียบเนียนแต่อาจจำเป็นต้องเข้ารักษาอย่างสม่ำเสมอในระยะเวลายาว
- การใช้เข็มตัดผังผืนใต้ผิว (subcision) เป็นวิธีกระชับรอยแผลจากสิว ให้ดูตื้นขึ้นโดยคุณหมอจะนำเข็มขนาดเล็กเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อตัดเส้นใหญ่ หรือผังผืนออกซึ่งอาจจะส่งผลให้น่ามีรอยช้ำ 1 ถึง 2 สัปดาห์ แต่เป็นวิธีการที่ได้ผล

การป้องกันไม่ให้เกิด รอยสิว หลังจาก รักษาสิวอักเสบ
ว่าไม่ได้ การป้องกันไม่ให้เกิด ดีกว่าแก้ปัญหาตามมาในภายหลัง การป้องกันไม่ให้เกิดรอยสิว คือการ รักษารอยสิว อย่างถูกวิธี โดยท่านสามารถทำได้ทำตามได้ เมื่อรักเกิดสิวประเภทต่างๆ บนใบหน้าดังต่อไปนี้
- การรักษาสิว และลดการอักเสบของสิวโดยการหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารระคายเคือง และใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้ายา รักษาสิวที่เหมาะสม กับสภาพผิวโดยอาจขอคำปรึกษาได้จากคุณหมอผู้เชี่ยวชาญ หรือคุณหมอด้านผิวหนังโดยตรง
- ไม่นำมือไปสัมผัสที่สิว หรือแกะสิว หรือบีบสิวเอง เพราะอาจจะทำให้แบคทีเรียเข้าไปในชั้นผิวที่ลึกทำให้เกิดการอักเสบของสิวขึ้น และเป็น รอยดำ รอยแด ได้
- หากแผลเป็นที่สิวตกสะเก็ด ควรหลีกเลี่ยงการแกะสะเก็ด หรือแผลปล่อยให้แผลหายดีจนสะเก็ดหลุดลอกออกไปเอง
- มันทาครีมกันแดด ที่ไม่ก่อให้เกิดสิวเป็นประจำ เพื่อป้องกันไม่ให้เซลล์ในสิวพัฒนาเป็นเมลาลาโนไซต์ (melanocytes) เนื่องจากเซลล์ตัวนี้ อาจจะส่งผลให้รอยสิวมีสีเข้ม และผิวหมองคล้ำขึ้นได้
และเมื่อท่านรักษาอย่างถูกวิธี รอยสิว ก็จะไม่เกิดบนใบหน้า และจะทำให้ท่านได้พบกับใบหน้าที่มีความใสห่างไกลสิว หากท่านเป็นสิวแล้วมีรอยสิว ตามมาสามารถทำวิธีการดังกล่าวเบื้องต้นได้ แต่ถ้าหากใครที่มีรอยสิวในระดับรุนแรง ควรจะทำการสอบถาม หรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะได้ เพื่อที่จะได้รักษาอย่างถูกวิธีในขั้นตอนถัดไป
Most Commented Posts